วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Japan Days 2 : น้ำตกมิโนะ ปราสาทโอซาก้า และย่านโดทงโบริ



            หลังจากหลับๆ ตื่นๆ เหมือนคนไม่ได้ใช้ผ้าอนามัยโซฟี อยู่ทั้งคืน  ก็ถึงเวลาตื่นเตรียมลุยเที่ยวในวันที่สองกันแล้ว  ก่อนอื่นเลยเราก็ไปแลกบัตร Yokoso Osaka Ticket  พอแลกมาแล้วก็จะได้บัตรขึ้นรถไฟหัวอัศวิน และ ตั๋ว Subway NewTram Bus 1day pass  เลือกเวลาขึ้นรถไฟอัศวินรอบเช้าสุดประมาณ 7 โมง           
เคาน์เตอร์ NANKAI เดินไปทางขวาอีกหน่อย
สิ่งที่ได้ เมื่อนำ Voucher Yokoso Osaka Ticket 
เราจะใช้ใบนี้ใส่เครื่องตรวจตั๋ว
ตั๋ว Subway NewTram Bus 1day pass
ยังเช้าอยู่ชานชาลาเลยโล่ง
เติมความสดชื่นระหว่างรอรถไฟ
อัศวินสีน้ำเงินมารับแล้ว

            และเวลา 7.38 น. ก็มาถึงที่สถานีนัมบะ (รถไฟตรงเวลามากๆ)  จากนั้นก็หาล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าใบใหญ่ๆ 4 ใบ ซึ่งล็อคเกอร์เนี้ยมันต้องใช้เหรียญ 100 เยน  ไอ้เรามันก็พึ่งมาถึง มีแต่แบงค์ใหญ่ๆ กันทั้งนั้น  โชคดีเจอคุณลุงเจ้าหน้าที่ตรงล็อคเกอร์พอดี เค้าเลยบอกให้ขึ้นลิฟต์ไปแลกชั้น 2 แล้วก็แวะซื้อข้าวปั้นกินเติมพลังก่อนไปเดินลุยกันที่มิโนะ  การจะไปมิโนะเราต้องต่อรถไฟถึง 3 ต่อ เริ่มจากนั่งไปลงที่ Umeda >>> Ishibashi >>> Minoo   ระหว่างทางก็มีเดินผิดทางบ้าง รอรถไฟผิดฝั่งบ้าง  แต่สิ่งที่ช่วยได้จริงๆ คือการถามนายสถานี ถามจนกว่าเขาจะบอกว่ารอฝั่งนี้ถูกแล้ว (เจ้าหน้าที่ที่นี่คือพร้อมให้ความช่วยเหลือมาก ถึงแม้เราจะพูดอังกฤษ หรือ ไทย กับเขา เขาก็จะตอบเรากลับมาเป็นญี่ปุ่น 5555 เพราะฉะนั้น อย่าลืมรูปช่วยคุณได้)

นั่งขบวนนี้จาก Umeda >>> Ishibashi
ต่อด้วยขบวนนี้ จาก Ishibashi >>> Minoo

            พอถึงมิโนะ พวกเราก็ตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถนน ร้านค้า บ้านคน แม้กระทั่งฝาท่อ เดินไปเรื่อยๆ อากาศเย็นสบาย  เดินไปอีกเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ทิศทาง เห็นคนเดินไปทางไหนเยอะๆ ก็ตามเขาไป(แบบนี้ก็ได้หรอ?) 

ฝาท่อสีสันสวยงาม
แบบจิ๋วก็มีนะ
ร้านขายของที่ระลึก ตามทางนี่มีเยอะมาก


มีแต่ของน่ารักๆ เงินในกระเป๋านี่สั่นเลย

           พอเดินไปอีกเรื่อยๆ  เริ่มเอะใจทำไมไม่ค่อยเห็นพวกนักท่องเที่ยวเลย เห็นแต่คนญี่ปุ่นวัยรุ่น(แก่) นี่ไม่ใช่พวกป้าๆ แกเดินไปตลาดสดกันเรอะ ไอ้เราก็เดินตามเขาไปด้วย แต่จากที่ดูกูเกิลแมพเราคิดว่ามาถูกทางแล้วล่ะ (มั้ง)
ตามทางเดินเห็นร้านขายใบเมเปิ้ลทอดเยอะมาก
ต้องลองซะหน่อย เลือกร้านนี้เลย
คุณลุง คุณป้า ใจดี น่ารัก
นำมาชุปแป้ง
แล้วทอดกันร้อนๆ กรอบๆ
ยืนดูอยู่นานก็ได้มา 1 ถุง  รสชาติเหมือนแป้งกล้วยทอดบ้านเราแต่แข็งกว่า
แวะซื้อเกาลัดกินซะหน่อย
โดดดึงดูดจากเจ้าเครื่องนี่

อร่อยนะ ลูกใหญ่ด้วย
เดินมาไกลก็ต้องเติมความสดชื่น อร่อยๆ ก่อนกินต้องเขย่าๆ เป็นเหมือนเยลลี่
กินต่อด้วยเจ้านี่ รสชาติเจ้มจ้นสุดๆ

           จากนั้นก็เดินไป เรื่อยๆ เรื่อยๆ จากที่เคยใส่โค้ท ก็ถอดซะ ใต้วงแขนเริ่มเปียกชื้น  แต่ก็ต้องเดินไปอีก เรื่อยๆ เรื่อยๆ เฮ้ย!!!  มันไกลมากอ่ะ สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างเรา  แถมเมื่อคืนก็นอนไม่เต็มที่  นี่เราโดนภาพมายาในเน็ตฯ หลอกให้มาที่นี่ใช่ไหมเนี้ย 555  แต่!!! มันยังพอมีความดี คือ วิว ข้างทางสวยมาก อากาศดี ธรรมชาติสุดๆ  บางคนก็มานั่งวาดรูป  พาหมามาเดินเล่นบ้าง  

หมาบางตัวเหมือนลากเจ้าของมาเดินมากกว่า วิ่งซะเจ้าของตามไม่ทัน

บรรยากาศดี๊ดี เหมาะกับการเดินเล่น
บางคนก็มานั่งวาดรูป
จับจองพื้นที่มุมที่ชอบกันไป
บ้านไม้ที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ
























   















แวะขอพรสักหน่อย

           และจากการเคี่ยวกรำขาของตัวเองอย่างหนัก มันก็นำพาให้เรามาเจอกับน้ำตกที่สวยงาม  นั่งชมธรรมชาติแบบขาสั่นๆ อยู่นาน  แล้วก็ต้องตัดใจเดินกลับลงไป เพราะไม่งั้นเดี๋ยวเวลาไม่พอ ปราสาทโอซาก้าจะปิดซะก่อน ขาลงเร็วหน่อยเป็นทางลาดซะเยอะ


คุ้มค่ากับระยะทางที่เดินจริงๆ








            
            จากนั้นเราก็นั่งรถไฟกลับไปสถานี Umeda  แล้วเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Osaka เพื่อไปยัง สถานี Morinomiya และเดินต่อไปยังปราสาทโอซาก้าได้เลย ซึ่งก่อนจะถึงตัวปราสาทนั้นมันจะต้องเดินผ่านสวนสาธารณะที่กว้างใหญ่  และขาที่ล้าจากการเดินไปน้ำตกก็คงจะพาเราไปไม่ถึงตัวปราสาทแน่ๆ  แต่เหมือนฟ้าจะยังเห็นใจคน(เกือบ)พิการ ระหว่างที่กำลังถอดใจ ถ่ายรูปปราสาทจากที่ไกลๆ อยู่นั้น  ก็มีรถรางวิ่งผ่านหน้าไป  และพนักงานคงเห็นไอ้ 4 คน นี้หน้าตาดูอยากรู้อยากเห็น ก็รีบปรี่เข้ามา รัวญี่ปุ่นใส่ทันที พนักงานอาจจะตั้งสติได้เห็นไอ้พวกนี้ทำหน้างง เลยปรับเป็นภาษาอังกฤษ แล้วลากเรามาหน้าเครื่องขายตั๋ว พร้อมชี้รูปแผนที่ให้ดูว่า ไอ้รถนี่จะมาพวกขี้เกียจ ขาง่อย อย่างพวกมึง ไปถึงทางเข้าตัวปราสาทเลยนะ  มีตั๋วราคาแบบเที่ยวเดียว กับแบบไป และกลับมาส่งที่เดิม  ควักตังทันทีแบบ ไป-กลับ 4 ใบ ค่ะ  
ตั๋วรถรางแบบ ไป-กลับ

รถรางจะจอดบริเวณนี้
ถ้าไม่มีนายเราแย่เลยนะ



           ในส่วนของข้างในตัวปราสาทพวกเราไม่ได้ขึ้นไปค่ะ ก็ถ่ายรูปกันอยู่แถวรอบๆ เท่านั้น  พอ 4 โมง เกือบ 5 โมง ที่นี่ก็เริ่มมืดแล้ว  







           เราก็เดินทางต่อไปที่ย่านโดทงโบริ  เพื่อไปหาอะไรกิน ก็เปิดเว็บ http://www.hyperdia.com/en/ เพื่อหาเส้นทางที่ใช้ไปสถานีนัมบะ  พอโผล่ขึ้นมาจากสถานีใต้ดินก็ต้องปะทะกับลมหนาว อากาศตอนพระอาทิตย์ตกดินแล้วมันหนาวจริงๆ  ก่อนมาญี่ปุ่นก็เล็งร้านนึงไว้แล้ว นั้นคือ ร้าน Isomaru Suisan ร้านมันปูย่าง นั้นเอง พอถึงร้านก็รีบปรี่เข้าไปด้วยความหิว แต่!!! กับต้องชะงัก กับ....พนักงานต้อนรับที่....หน้าตาดีมากกกกกค่า  งานดีงานจอนนี่จูเนียร์  แถมต้อนรับบริการอย่างดี  แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณคิดว่ามีคนเดียว ขอบอกเลยว่าคุณคิดผิด  พนักงานที่นี่ทั้งหมดเขาคัดหน้าตากันใช่ไหมค่ะ พูด!!!  หล่อยันคนปั้นซูชิ  ประทับใจอีกอย่างนึงคือ ตอนอ่านรีวิวร้านนี้จากท่านอื่นๆ ในพันทิป ก็จะสังเกตเห็นเตาย่างเล็กๆ ก็เข้าใจว่าคงให้ย่างเอง  แต่ที่นี่พนักงานหนุ่มน้อยหน้ามน บริการย่างให้ทุกอย่างเลยค่า ดีต่อใจมากๆ  ส่วนเรื่องอาหารอร่อยมากค่ะ  ทุกอย่างสดมาก  


หน้าร้าน Isomaru Suisan

พนักงานหนุ่มน้อยหน้ามน
มันปูย่างหอมๆ ราดบนข้าวสวยร้อนๆ
หอยเชลล์ย่าง
สักคำไหม

อร่อยมาก สดใช้ได้เลย


           พอกินอิ่มแล้วเราก็กะจะไปเดินเล่นกัน  แต่เนื่องจากวันนี้ใช้ร่างกายอย่างหนักทั้งวัน พอมาถึงนี่ร่างกายก็แทบจะคลานกันแล้ว เลยไม่ได้เดินหาของกินเล่นอะไรกันเลย เจอป้ายกูลิโกะแล้ว ก็ตัดสินใจกลับที่พัก  เพื่อเก็บแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ที่จะต้องไป Universal กัน



มาถึงตรงนี้ก็แบตหมดกันแล้ว

           ที่พักที่แรกในคืนนี้ของเรา คือ HOSTEL ZOO อยู่ห่างจาก สถานี Numba  2 สถานี  นั่งไปลงที่ สถานี Dobutsuen-Mae ออก ทางออกที่ 2 เดินไม่ไกลก็ถึงที่พัก  พอเราทำเรื่องเช็คอินเสร็จ เราก็พบกับเรื่องช็อค นั้นก็คือ...ที่นี่ไม่มีลิฟต์จ้า.....เออ...และได้ที่พักชั้น3 จ้า....เย้!!  รออะไรค่ะ แบกกระเป๋าเดินทาง 28 นิ้ว หนัก ประมาณ 25 โล ขึ้นไปสิค่ะ  น้ำตาแทบไหล หลังแทบยอก  มาพูดถึงตัวที่พักกันบ้าง ห้องพักที่นี่จะเป็นแบบห้องน้ำแยก คือ ในแต่ละชั้นจะมีห้องส้วมกับที่ล้างหน้าให้ แต่ห้องอาบน้ำจะต้องลงมาใช้ที่ชั้นล่างสุด เป็นแบบแยก ชาย-หญิง  ในห้องพักก็จะมีแค่เตียง 2 ชั้น 2 เตียง มีทีวี มีผ้าเช็ดตัวให้ มีแก้วน้ำ มีถังขยะ มีแอร์ให้ แต่พื้นที่ห้องแคบมาก วางกระเป๋า 28 นิ้ว 4 ใบ ไปแทบไม่มีที่เดิน  ส่วนห้องอาบน้ำชั้นล่าง เดินเข้าไปจะมี ห้องส้วม อ่างล้างหน้า ห้องอาบน้ำ 3 ห้อง และมีล็อคเกอร์ให้ไว้เก็บของ ในห้องอาบน้ำก็จะมีสบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผมให้ แต่ห้องแคบมากๆ  ชั้นล่างนั้นมีพื้นที่ส่วนกลางไว้ให้นั่งทานข้าวด้วย แต่ไม่ใหญ่มาก  ข้อดีของที่พักนี้ก็คือ ราคาไม่แพง แถมติดกับรถไฟฟ้าใต้ดินเลย และเจ้าของที่พักที่นี่คือดีมากๆๆ ดียังไงเดี๋ยวจะมาเล่าตอนเช็คเอ้าท์ให้ฟังนะ


----------------- จบการเดินทางในวันที่ 2 -----------------


วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

Japan Days 1 : เดินทางถึงแดนซามูไร


             วันออกเดินทาง ไฟล์ทที่จองไว้คือ 09:45  ทำให้ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด สบายหน่อยตรงที่ได้จองแท็กซี่ให้มารับที่บ้านไว้แล้ว และพี่แท็กซี่ที่จองไว้คือดีมากๆๆ เคยใช้พี่เค้าตอนขาไปฮ่องกงรอบนึง ครั้งนี้ใช้ทั้งไป และกลับ พี่คนขับดีมากๆ ขับไม่ช้า ไม่เร็ว ไม่มีชวนคุยนอกเรื่อง ช่วยขน และเข็นกระเป๋า แบบไม่ต้องร้องขอ (ใครอยากได้เบอร์พี่เค้าหลังไมค์มาได้นะ บ้านพี่เค้าอยู่แถวๆ พุทธมณฑลสาย 4) 

พอมาถึงสนามบิน ก็ไปทำการแลกเงินเพิ่มก่อน มาถึงเร็วไปหน่อยเลยยังเช็คอินไม่ได้  พอลงไปที่ชั้นล่าง เห็นเคาเตอร์แลกเงินอยู่รำไรๆ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆ เริ่มเห็นกระดาษอะไรแปะอยู่ เดินเข้าไปเรื่อยๆ  จนอ่านได้ใจความว่า เงินเยนหมดค่ะฟ๊าคคคคคค!!!  แต่สวรรค์คงยังเห็นความดีที่เคยช่วยมดที่กำลังจมน้ำ  มันยังมีอีกร้านที่ยังไม่เปิด และไม่ได้แปะกระดาษใดๆ ไว้หน้ากระจกร้าน  เราก็รอจนมันเปิดและได้เงินเยนมาแต่ไม่มาก เพราะมีไม่พอ (อะไรมันจะฮอตขนาดน้านนน)




จากนั้นก็ไปเช็คอิน  ตรวจกระเป๋า  ผ่าน ตม. ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แถวแต่ละที่สั้นมาก เวลาเหลือเยอะมาก เลยไปนั่งเน่าอยู่ในเลาจน์ คิงพาวเวอร์  กินกะเอาอิ่ม แล้วก็นอนหลับกันอย่างสุขสบาย  พอถึงเวลาก็เดินไปขึ้นเครื่องสวยๆ (หรอ?)  พอขึ้นเครื่องก็เจอกับแอร์ฯ หน้าตาจิ้มลิ้ม งานดี งานอินเตอร์ ให้ความช่วยเหลือเรื่องที่นั่ง มีแจกผ้าร้อนให้เช็ดหน้าเช็ดตา พอเครื่องบินขึ้น (ขึ้นนิ่มมาก ถ้าไม่มองไปนอกหน้าต่างยังคิดว่าจอดอยู่ที่สุวรรณภูมิ เว่อร์ไปอีก 555)  สักพักก็มีอาหารมาเสิร์ฟ (กินอีกละ)  หลังจากอิ่มก็เลยนอนย่อยเป็นงูหลามแดกหมา 555  
ขานี้สั่งซีฟู๊ดไว้ อาหารมาเร็วจนต่างชาติข้างเคียงแอบมองค้อน

สักพักก็ถึงสนามบินชางกี เราต้องมาเปลี่ยนเครื่องที่นี่ มีเวลาประมาณ 50 นาที ก่อนเครื่องออก ตอนแรกก็คิดว่าคงไม่ต้องรีบเท่าไหร่ ก็เดินชิวๆ ไปตามป้าย Transit กะแวะเข้าห้องน้ำก่อน ก็มีเสียงแลดูร้อนรนดังมาประมาณว่า ไฟล์ททูโอซาก้าๆ เอ๊ะ!! คุ้นๆ ของเรานี่หว่า วิ่งสิ รอไร ปรากฎว่าเป็น 4 คนสุดท้าย ที่บนเครื่องเค้ารออยู่ เกือบไปแล้ว  ขึ้นมานั่งพักเหนื่อยสักพักก็ได้กินข้าว(อีกแล้ว) ด้วยความกระหายก็เลยสั่งน้ำแอปเปิ้ลรัวๆ ก็ฟรีอะนะ (เก็บกดตอนนั่งโลว์คอสต์ จะสั่งอะไรก็เป็นเงินไปหมด)  จากนั้นก็พักสายตา ยาวไปค่ะ (เกม หนัง ไม่ได้ดูเลย ชอบแอบดูของคนข้างหน้าแทน โรคจิตอ่ะ 555) 
มีเมนูให้ดูก่อนเลือกอาหาร(ถ้าเราไม่ได้รีเควสอาหารไว้)  อาหารมี 2 แบบ

อาหารชุดแบบญี่ปุ่น
อาหารชุดแบบอินเตอร์
ถ้าสั่งอาหารซีฟู๊ดไว้จะได้อันนี้
ตบท้ายด้วยไอติมเป็นของหวาน
ประมาณ 3 ทุ่มครึ่งก็มาถึงสนามบินคันไซแล้ว ฮิ้ววว  ครั้งแรกที่ได้มาแดนซามูไร ตื่นเต้นๆ  เราต้องนั่งรถไฟไปเทอมินอลหลักก่อน ใช้เวลาไม่นานก็ถึงเดินตามๆ กันไป เพื่อไปผ่าน ตม. ก็เตรียมเอกสารต่างๆ ให้เรียบร้อย กลัวนิดๆ เหมือนกันนะ แต่เตรียมเอกสารที่พัก ตั๋วขากลับ แผนการเดินทาง ตั๋วอื่นๆ ใส่ซองแจกจ่ายให้ลูกทีมทุกคนหมด น่าจะโอเคอยู่ แล้วก็ผ่านมาแบบง่ายๆ แถวก็ไม่ยาวเท่าไหร่ ตอนผ่านศุลกากรก็ผ่านกันไปแบบหมู่คณะง่ายๆ ไม่ถามไรเลย (ถามหน่อยก็ได้นะ อุตสาเตรียมตอบคำถามมาซะเยอะเลย 5555)
รอรถไฟๆ



พอออกมาด้านนอกก็เกิดอาการมึนงง หาทางไปไม่ถูก 5555  คืนแรกนี้แพลนไว้ว่าจะนอนที่สนามบินก็เล็งๆ KIX Airport Lounge ไว้  แต่ตอนนี้ต้องหาทางไปซื้อตั๋วชินคันเซน กับรถไฟสายโรแมนติกก่อน  ก็มองหาป้าย T2(Terminal2)  เดินๆไปก็เจอละ JR Ticket Office รีบเข้าไปอย่างไว  
นี่คือแถวของตอนเช้าวันรุ่งขึ้น คิดถูกที่ซื้อไว้ก่อนตอนมาถึง

ออกตัวก่อนเลยว่าในกรุ๊ปนี้นั้นพูด และฟังญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง  ภาษาอังกฤษนี่ระดับง่อยมาก  รอดพ้นจากทริปนี้มาได้เพราะการเปิดรูปให้ดู  สื่อสารกันเป็นภาษากาย ล้วนๆ  รูปนี่ช่วยได้เยอะมาก  อย่างตอนนี้ที่จะจองชินคันเซน จากเกียวโตไปมิชิม่า ในวันที่ 20 พ.ย.  ก็เซฟรูปที่ทำเส้นทางผ่านเว็บ hyperdia ไว้ แล้วเปิดให้เจ้าหน้าที่จองให้  
ตั๋วชินคันเซน จากเกียวโตไปมิชิม่า
คราวนี้ก็จอง Sagano Romantic Train(Arashiyama)  แต่เจ้าหน้าที่บอกเต็มมมมม โนววววว  เจ้าหน้าที่เหมือนรับรู้ได้ถึงอารมณ์สะเทือนใจขั้นสุดของเรา ก็ขอโทษเราใหญ่เลย คือดีมากๆ คือไม่ใช่ความผิดเขาเลยจริงๆ  จากนั้นก็ถอยบัตร ICOCA มาคนละใบ แล้วเดินออกไปอย่างผู้แพ้ (ซาวด์เพลง ฮิเดโกะ Hideko ของคู่กรรม นี่ลอยมาเลย)  ส่วนบัตร Yokoso Osaka Ticket ต้องแลกที่เคาน์เตอร์ NANKAI จะอยู่ด้านซ้ายมือ ติดกับเคาน์เตอร์ JR แต่ต้องมาแลกพรุ่งนี้ เที่ยวเช้าสุดคือ 06.50  เคาน์เตอร์จะเปิดตอนตี 5 ครึ่ง  
บัตร ICOCA ราคา 2,000 เยน ใช้ได้ทั้งรถไฟ JR, รถไฟใต้ดิน, รถบัส ทั่วญี่ปุ่น และใช้ซื้อของของใน 7-11, Family Mart หรือ Lawson ได้อีกด้วยด้วย สามารถเติมเงินที่ร้านพวกนี้ หรือเติมที่ตู้อัตโนมัติตามสถานีรถไฟฟ้าทุกที่  แต่ถ้าจะคืนบัตรต้องคืนในเขตที่ซื้อบัตรมาเท่านั้น


พอเสร็จเรื่องตั๋ว ก็ไปเรื่องที่พักหลับนอน ก็เดินกลับไปที่ Terminal1 ไปที่ KIX Airport Lounge จะอยู่ข้างแมคโดนัล  แต่พอเห็นราคาแล้วแบบ...กลับไปที่พักเบาะเขียวนอนฟรีดีกว่า 5555  
อยู่ข้างๆ แมคโดนัล
ทางเข้าใหญ่โต
แถวๆ นี้มีล็อคเกอร์ให้ฝากของเยอะเลย
มีหลากหลายขนาด

แต่ก่อนกลับไปที่ Terminal2  ก็แวะหาอะไรกินแถวนี้ก่อน เห็นร้านข้าวหน้าเนื้อแว๊บๆ เข้าไปจัดเซ็ตใหญ่สุดมากิน อร่อยอ่า หรือหิวก็ไม่รู้ แต่ร้านนี้โอเคนะ ราคาไม่แรงด้วย  

เดินมาสั่งอาหารก่อน ก็จิ้มๆ ภาพไป  ด้านขวาคือที่ให้ยกจานไปไว้หลังกินเสร็จ
สั่งอาหารเสร็จก็ได้ใบมานั่งรอเรียกไปรับอาหาร
มาแล้ววว  เยอะมากกก
พออิ่มท้องก็เดินกลับไปที่ Terminal2 โซน Aero Plaza  คือเดินเลย ที่ขายตั๋ว JR ขึ้นไปนั้นเอง เดินตรงไปเรื่อยๆ เลย เจ้าที่นอนเบาะเขียวนอนฟรีเราจะอยู่ตรงข้ามกับร้านเบอร์เกอร์คิง  พอไปถึงปรากฏว่าทุกเบาะได้ถูกจับจองหมดแล้วววว (ซาวด์เพลงคู่กรรมลอยมาอีกครั้ง) ก็เลยเดินออกมานั่งเน่าหน้าร้าน Lawson กะว่าจะนอน(นั่งหลับ)นี่ละ ก็เตรียมเปิดกระเป๋าไปล้างหน้าแปรงฟันกัน  พอกำลังจะนั่งหลับก็มีพี่คนไทย ที่คงทนเห็นสภาพที่น่าสมเพชของอิพวกนี้ไม่ไหว เดินมาบอกว่าอีกโซนด้านนึงมีเบาะเหลืออยู่นะ แต่ไฟมันจะเปิดสว่างหน่อย  ก็รีบโกยกระเป๋าไปเลยกลัวเต็มอีก 5555  หลังจากนั้นก็หลับ ตื่นๆ กันไปจนเช้า

สภาพของผู้แพ้จากห้องเบาะเขียว

------------------------- จบวันแล้ว สำหรับวันแรก -------------------------


วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Japan ใบไม้แดง แรง 3 เท่า - ช่วงเตรียมตัว

14 – 28 พฤศจิกายน 2559


 ใกล้แล้วๆ ใกล้จะได้ไปญี่ปุ่นสักที  ขอเกริ่นก่อนว่าประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยากไปมากกกก  เพราะมันมีอะไรหลายๆ อย่างที่เราชอบที่นั่น 
           1. เกมส์ โดยเฉพาะค่าย SQUARE ENIX เล่นตั้งแต่เด็กๆ และเติบโตมากับมันเรื่อยๆ  
           2. การ์ตูน พูดง่ายๆ ละกันว่าเราเป็นโอตาคุ จบ!!! 55555
           3. ดารา นักร้อง ไอดอล ทัคกี้ เอย  คิมูทากุ เอย  โอกุริ ชุน เอย โอยเยอะแยะมากมาย
           4. ขนม และอาหารการกิน 
           5. วิว ทิวทัศน์ ที่สวยงาม ตระการตา โดยเฉพาะช่วงนี้ ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
ในทริปนี้ก็หวังว่าจะได้ฟินครบหมดทุกอย่าง แต่ให้เจอดารานี่คงยาก 5555  เอาหล่ะ!!! ก่อนจะไปเที่ยวก็ขอรีวิวช่วงเตรียมตัวกันหน่อย

ช่วงเตรียมตัว

            หลังจากวางแผนว่าจะไปญี่ปุ่นช่วง พ.ย. ก็เล็งเมือง โอซาก้า เกียวโต คาวากูจิโกะ โตเกียว ไว้  ได้คนร่วมชะตากรรมมา 3 คน  รวมทริปนี้เป็น 4 ชีวิต  จากนั้นก็เริ่มหาตั๋วโปร เล็งกันตั้งแต่ต้นปี  ส่องจากเพจต่างๆ ในเฟสบุ๊ค เช่น  Ar-pae.com, ติดโปร - PRO addict  และแล้วก็เจอ โปรของ Vietnam Airlines กับ Singapore Airlines   โปรของเวียดนามจะถูกกว่า แต่เราก็เลือกสิงคโปร์ เพราะได้ยินมาหลายเสียงว่าบริการบนเครื่องดีมาก  จองผ่าน เว็บ Expedia ได้ไฟล์ท ไปเช้า – กลับเช้า (พึ่งมารู้ทีหลังว่าวิธีนับวัน วีซ่าญี่ปุ่น คือวันที่ไปถึงให้นับเป็น 0 แล้วไล่ไป 15 วัน  เสียใจหายไปวันนึง)  ส่วนราคาอยู่ที่ 11,315 บาท ต่อคน  อ้ออีกเหตุผลที่เลือกสายนี้เพราะสามารถเลือกลงโอซาก้า แล้วกลับทางโตเกียวได้ด้วย จะได้ไม่ต้องนั่งรถไฟย้อนไป-มา  จองเสร็จก็เข้าไปเลือกที่นั่ง รีเควสอาหาร

            พอได้ตั๋วมาละ ก็เริ่มมองหาที่พัก โดยหาจากเว็บ booking.com  ด้วยช่วงที่ไปนั้นตรงกับช่วงใบไม้แดงคนไปเที่ยวกันเยอะมากขนาดว่าเริ่มๆ ดูตั้งแต่เดือนเมษา ที่พักที่เล็งๆ ไว้ยังเต็มไปแล้ว ต้องจองเร็วแค่ไหนถามใจดู  หลังจากกดจองบ้าง กดยกเลิกบ้าง อยู่หลายที่ ก็ได้ที่พัก สำหรับ 3 เมือง มาเรียบร้อย
  • โอซาก้า พักที่ HOSTEL ZOO (15-17 NOV 16)  ราคา 23,400 เยน / 2 คืน / 4 คน
  • เกียวโต พักที่ Piece Hostel Kyoto (17-20 NOV 16)  ราคา 45,000 เยน / 3 คืน / 4 คน
  • คาวากูจิโกะ พักที่ Plaza Inn Kawaguchiko (20-22 NOV 16) ราคา 35,000 เยน / 2 คืน / 4 คน

เหลือที่โตเกียว หาไปมาก็ยังไม่เจอที่ถูกใจ และเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋า  ส่วนมากเวลาจองที่พักจะเน้นใกล้ๆ กับสถานีรถไฟ เดินทางสะดวก ซึ่งราคาก็จะแพงหน่อย ถ้าไม่แพงก็ไกลจากตัวเมือง  แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านเจอในพันทิป ว่ามีที่พักของป้าลาวัลย์ แถวอิเคะบุคุโระ ราคาเป็นมิตรพักได้ 4 คน ราคาคืนละ 10,000 เยน / ห้อง จากนั้นก็หาทางติดต่อป้าวัลย์จากในพันทิป http://pantip.com/topic/30044135  แล้วก็ไลน์ไปหาป้า ป้าใจดีมาก ป้าพิมไทยได้ด้วย เลยจองห้องกับป้าไว้ แล้วก็ได้เบอร์จองห้องมา เป็นอันเสร็จเรื่องตั๋ว เรื่องที่พัก

จากนั้นก็เตรียมตัวหาข้อมูล วางแผนการเดินทาง สำหรับการเตรียมข้อมูล เว็บที่สำคัญมากๆ คือ
  • Google My Maps  เอาไว้ปักหมุดสถานที่เที่ยว ที่กิน ดูเส้นทางความใกล้ ไกล  สำคัญมาก และยังช่วยให้มองเห็นภาพสถานที่เที่ยวจริงด้วย Google Street View ให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปมาแล้ว 


  • เว็บ Hyperdia (http://www.hyperdia.com/en) ใช้สำหรับดูเส้นทางรถไฟ ทำให้เราสามารถกะเวลาในการเที่ยวได้คร่าวๆ  แต่เราต้องรู้ชื่อสถานีรถไฟต้นทาง กับปลายทางที่เราจะไปด้วย ซึ่งก็ดูได้จาก Google Maps นั้นแหละ
กรอกต้นทาง / ปลายทาง  เลือกวันที่ และเวลาที่เราจะดูเส้นทาง
เว็บจะแสดงเส้นทางการเดินทางให้เรา ประมาณ 5-10 เส้นทางตามที่เราระบุ
หลักการใช้ก็คล้ายๆ กับเว็บ Hyperdia  


  • และขาดไม่ได้เลยกับ เว็บ Pantip.com ข้อมูลแต่ละกระทู้แน่นมาก

พอเครื่องมือพร้อมแล้ว ก็ทำตารางเที่ยวตามแบบฉบับของตัวเอง เอาที่เราเข้าใจได้ (บอกตรงตอนสอบเอ็นทรานซ์ ยังไม่เคยตั้งใจขนาดนี้  ถ้าขยันแบบนี้ชีวิตคงดีกว่านี้ 5555)


จากนั้นก็ดูจองตั๋วสถานที่ ตั๋วรถบัส ต่างๆ ที่สามารถจองจากเมืองไทยไปได้  ในทริปนี้เราไม่ได้ใช้ JR Pass แต่ใช้เป็น Pass ย่อย อื่นๆ แทน   พวกตั๋วเข้า USJ , Disney , จอง Pocket Wifi และ Yokoso Osaka Ticket ไปซื้อจากงานเที่ยวญี่ปุ่น   Yokoso Osaka Ticket  เราจะได้นั่งรถไฟขบวน Nankai Rapi:t Express หรือรถไฟหัวอัศวิน จาก Kansai Airport  ไปนัมบะ ด้วยเวลาอันรวดเร็ว และยังได้  One Day Pass ไว้เดินทางในโอซาก้า 1 วันเต็ม และตั๋ว Yokoso นี้ จะต้องซื้อจากเมืองไทยเท่านั้น!!! แล้วนำไปแลกเป็นตั๋วจริงที่ญี่ปุ่น ที่เคาน์เตอร์ของ NANKAI   

จองตั๋ว จากเกียวโตไปคาวากูจิโกะ  จากคาวากูจิโกะไปโตเกียว
        ตอนแรกวางแผนการเดินทางจากเกียวโตไปคาวากูจิโกะ ไว้ว่าจะนั่งชินคันเซนยาว  แต่ได้คำแนะนำจากในพันทิปว่าให้นั่งชินคันเซนไปลง Mishima แล้วนั่งรถบัสต่อไปคาวากูจิโกะ จะประหยัดกว่า  เรากะให้ไปถึงเร็วๆ หน่อย ซึ่งช่วงเวลาที่เล็งไว้ พอถึง สถานี Mishima จะมีเวลาเดินไปขึ้นรถบัสแค่ 15 นาที (แต่ส่องจากพันทิปหลายๆ กระทู้ เขาว่าไปขึ้นทัน)  และเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปซื้อตั๋ว เลยจองไปเลยดีกว่า  ในเว็บจะเปิดจองล่วงหน้า 2 เดือน ก่อนวันที่เดินทาง อันนี้จองแล้วตัดบัตรจ่ายเงินเลย สามารถปริ้น Voucher ไปขึ้นรถได้เลย 
https://japanbusonline.com/Detail/12200050001/4222062/4194301001/  <<< ทางไปจอง


1. เมื่อกด link เข้ามาแล้ว จะเจอหน้าให้เลือกวัน และเวลาที่ต้องการจะเดินทาง

2. พอกดเลือกวัน และเวลาเสร็จ หน้าจอจะเลื่อนมาที่หน้านี้

3. กรอกทุกอย่างเสร็จก็จะไปหน้าชำระเงิน

4. ต้องนำ code ที่ส่งมาทางอีเมล์มากรอก

5. กรอกรายระเอียดเพื่อชำระเงิน 
หลังจากชำระเงินเสร็จเรียบร้อย ทางเว็บจะส่ง E-ticket/Confirmation เข้าไปทางอีเมล์ของเรา

ส่วน รถบัสจากคาวากูจิโกะไปโตเกียว จองอย่างเดียว ยังไม่ได้จ่ายเงิน จะต้องปริ้นแล้วไปจ่ายเงินที่เคาเตอร์จองตั๋ว ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน  จะเปิดจองล่วงหน้า 1 เดือน ก่อนวันที่เดินทาง
http://highway-buses.jp/fuji  <<< ทางไปจอง
 1. เลือกที่ที่ต้องการขึ้นรถ

 2. เลือกวันเดินทาง

3. เลือกเวลาเดินทาง

4. กรอกรายละเอียดต่างๆ

5. ตรวจสอบรายละเอียดการจอง

6. จองเสร็จเรียบร้อย กดปริ้นใบจอง แล้วนำไปชำระเงินก่อนเดินทางล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน


รีวิวการจองตั๋ว Ghibli Museum
         ในทริปนี้มีสถานที่ ที่ต้องไปให้ได้อยู่นั้นก็คือ Ghibli Museum ซึ่งขึ้นชื่อว่าจองยากมาก เพราะเขาจำกัดคนเข้าชมในแต่ละรอบซึ่งน้อยมาก โดยวันนึงจะมี 4 รอบ คือ 10.00 น. , 12.00 น. , 14.00 น. และ 16.00 น. ไม่สามารถเข้าก่อนเวลาที่จองไว้ และห้ามเข้าหลัง 30 นาที จากที่จองไว้(มาช้าก็อดเข้าเน้อ ถึงจะมีตั๋วก็ตาม) ถ้าเข้าไปแล้วสามารถอยู่ได้จนถึงเวลาปิด  ซึ่งเราสามารถซื้อตั๋วออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://l-tike.com/st1/ghibli-en/sitetop    ได้ล่วงหน้า 1 เดือน (ตอนแรกก็ว่าจะสั่งกับคนที่รับซื้อตั๋ว ซึ่งการันตีว่าจองให้ได้แน่นอน แต่มันแพงอ่ะ T^T)  โดยเว็บจะเปิดให้จองเดือนถัดไปทุกๆ วันที่ 10 ของเดือน (งงไหม 555) เช่น เราจะไปวันที่ 25 พ.ย. เว็บจะเปิดให้จองเดือน พ.ย. ในวันที่ 10 ต.ค. ตอน 10 โมง ของญี่ปุ่น (8 โมงเช้าในไทย)   ก่อนหน้าที่จะถึงวันจองจริงเราก็มีการซ้อมจอง(จริงจังแค่ไหนถามใจดู) โดยในวันที่ 10 ก.ย. ตอน 8 โมง เราก็ทำการกดเข้าไป (อันนี้ใช้วิชาเก่าตอนจองโปร 0 บาท จากค่ายหางแดง)  ปรากฏว่า รอบ 10.00 น. ที่เล็งไว้ ขึ้นสัญลักษณ์สามเหลี่ยม อย่างรวดเร็ว (*สามเหลี่ยมคือใกล้เต็ม) แต่ยังพอจองได้บ้าง  เราก็คิดว่าโอเคหล่ะ เราน่าจะได้ตั๋ว เราจะต้องได้ตั๋ว เราต้องได้ ต้องได้ ต้องด้ายยยย  5555  พอถึงวันจริงก็เอาละ เปิดคอมฯ เตรียมเข้าเว็บไว้ตั้งแต่ 7 โมงครึ่ง  พอถึงเวลา คลิก ปั๊บ เว็บค้างปุ๊บ!!!  ลนลานเลยทีนี้  รีเฟรชด่วนๆ  พอเข้าไปใหม่ วันที่เล็งไว้ รอบ 10 โมง เต็มจ้า ผ่านไปไม่ถึง 2 นาที อะไรมันจะฮอตขนาดนั้นค่ะพี่บัวลอย  เอาหล่ะเราไม่โอดครวญนาน เราเปลี่ยนไปจองวันอื่นแทนในรอบ 10 โมง และเราก็ทำได้ เย้!!! ตัดบัตรซื้อตั๋วมาเรียบร้อย ค่าเสียหายคนละ 1000 เยน  หลังจากนั้นเราก็กดเข้าไปดูหน้าจองอีกรอบ ผลคือรอบ 10 โมง ของทุกวันเต็มเรียบร้อย
และนี่คือสภาพ หน้าจองตั๋วหลังจากนั้นไม่กี่วัน โหดร้ายมากกกกกก

เอาหล่ะ เราผ่านจุดที่ยากไปละ ที่เหลือเราก็จอง TOKYO ONE PIECE TOWER  และบุฟเฟ่ต์ภัตราคารซันจิ  ซึ่งจองผ่าน https://onepiecetower.tokyo/?lang=en  ตั๋วเข้า TOKYO ONE PIECE TOWER  ตัดบัตรเลย แต่ตัวบุฟเฟ่ต์ยังไม่ต้องจ่ายเงิน 


ส่วนกระเป๋าเดินทางในทริปนี้ เลือกใช้แบบ 28 นิ้ว แล้วยัดกระเป๋าพับ กับเป้เตรียมไปออกลูกตอนขากลับ  พวกเสื้อโค้ท สเวตเตอร์ เสื้อแขนยาว คอเต่า ฮีทเทค  ก็สอยเอาจากร้านมือสอง มีราคาตั้งแต่ 100 – 450 บาท  ทั้งแบรนด์บ้าง โนแบรนด์บ้าง  จัดมาจนกระเป๋าจะแหก(นี่ขนาดขาไป)  แล้วก็มีเตรียมยาต่างๆ ลืมไม่ได้เลยโดยเฉพาะยาคลายกล้ามเนื้อ  ยาหม่อง ตราอินทรชิตร์ สูตร 2 ใช้ดีมากกกก อะไรห... เอ้ยดี บุ๋มก็ว่าดี  จากนั้นก็โทรจองแท็กซี่แบบอินโนว่า จะได้จุ 4 ชีวิต และกระเป๋าอ้วนๆ อีก 4 ใบ พอ  แล้วก็รอให้ถึงวันเดินทาง  แล้วจะมารีวิวให้ฟังตั้งแต่ตอนไป จนถึงกลับมาเลย