และเวลา
7.38 น. ก็มาถึงที่สถานีนัมบะ (รถไฟตรงเวลามากๆ)
จากนั้นก็หาล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าใบใหญ่ๆ 4 ใบ ซึ่งล็อคเกอร์เนี้ยมันต้องใช้เหรียญ
100 เยน ไอ้เรามันก็พึ่งมาถึง
มีแต่แบงค์ใหญ่ๆ กันทั้งนั้น
โชคดีเจอคุณลุงเจ้าหน้าที่ตรงล็อคเกอร์พอดี
เค้าเลยบอกให้ขึ้นลิฟต์ไปแลกชั้น 2 แล้วก็แวะซื้อข้าวปั้นกินเติมพลังก่อนไปเดินลุยกันที่มิโนะ การจะไปมิโนะเราต้องต่อรถไฟถึง 3 ต่อ เริ่มจากนั่งไปลงที่ Umeda >>> Ishibashi >>> Minoo ระหว่างทางก็มีเดินผิดทางบ้าง
รอรถไฟผิดฝั่งบ้าง แต่สิ่งที่ช่วยได้จริงๆ
คือการถามนายสถานี ถามจนกว่าเขาจะบอกว่ารอฝั่งนี้ถูกแล้ว
(เจ้าหน้าที่ที่นี่คือพร้อมให้ความช่วยเหลือมาก ถึงแม้เราจะพูดอังกฤษ หรือ ไทย
กับเขา เขาก็จะตอบเรากลับมาเป็นญี่ปุ่น 5555 เพราะฉะนั้น อย่าลืมรูปช่วยคุณได้)
 |
นั่งขบวนนี้จาก Umeda >>> Ishibashi |
 |
ต่อด้วยขบวนนี้ จาก Ishibashi >>> Minoo |
พอถึงมิโนะ
พวกเราก็ตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถนน ร้านค้า บ้านคน แม้กระทั่งฝาท่อ
เดินไปเรื่อยๆ อากาศเย็นสบาย เดินไปอีกเรื่อยๆ
อย่างไม่รู้ทิศทาง เห็นคนเดินไปทางไหนเยอะๆ ก็ตามเขาไป(แบบนี้ก็ได้หรอ?)
 |
ฝาท่อสีสันสวยงาม |
 |
แบบจิ๋วก็มีนะ |
 |
ร้านขายของที่ระลึก ตามทางนี่มีเยอะมาก |
 |
มีแต่ของน่ารักๆ เงินในกระเป๋านี่สั่นเลย |
พอเดินไปอีกเรื่อยๆ เริ่มเอะใจทำไมไม่ค่อยเห็นพวกนักท่องเที่ยวเลย
เห็นแต่คนญี่ปุ่นวัยรุ่น(แก่) นี่ไม่ใช่พวกป้าๆ แกเดินไปตลาดสดกันเรอะ
ไอ้เราก็เดินตามเขาไปด้วย แต่จากที่ดูกูเกิลแมพเราคิดว่ามาถูกทางแล้วล่ะ (มั้ง)
 |
ตามทางเดินเห็นร้านขายใบเมเปิ้ลทอดเยอะมาก |
 |
ต้องลองซะหน่อย เลือกร้านนี้เลย |
 |
คุณลุง คุณป้า ใจดี น่ารัก |
 |
นำมาชุปแป้ง |
 |
แล้วทอดกันร้อนๆ กรอบๆ |
 |
ยืนดูอยู่นานก็ได้มา 1 ถุง รสชาติเหมือนแป้งกล้วยทอดบ้านเราแต่แข็งกว่า |
 |
แวะซื้อเกาลัดกินซะหน่อย |
 |
โดดดึงดูดจากเจ้าเครื่องนี่ |
 |
อร่อยนะ ลูกใหญ่ด้วย |
 |
เดินมาไกลก็ต้องเติมความสดชื่น อร่อยๆ ก่อนกินต้องเขย่าๆ เป็นเหมือนเยลลี่ |
 |
กินต่อด้วยเจ้านี่ รสชาติเจ้มจ้นสุดๆ |
จากนั้นก็เดินไป เรื่อยๆ
เรื่อยๆ จากที่เคยใส่โค้ท ก็ถอดซะ ใต้วงแขนเริ่มเปียกชื้น แต่ก็ต้องเดินไปอีก เรื่อยๆ เรื่อยๆ เฮ้ย!!! มันไกลมากอ่ะ
สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างเรา
แถมเมื่อคืนก็นอนไม่เต็มที่
นี่เราโดนภาพมายาในเน็ตฯ หลอกให้มาที่นี่ใช่ไหมเนี้ย 555 แต่!!! มันยังพอมีความดี
คือ วิว ข้างทางสวยมาก อากาศดี ธรรมชาติสุดๆ
บางคนก็มานั่งวาดรูป
พาหมามาเดินเล่นบ้าง
 |
หมาบางตัวเหมือนลากเจ้าของมาเดินมากกว่า วิ่งซะเจ้าของตามไม่ทัน |
 |
บรรยากาศดี๊ดี เหมาะกับการเดินเล่น |
 |
บางคนก็มานั่งวาดรูป |
 |
จับจองพื้นที่มุมที่ชอบกันไป |
 |
บ้านไม้ที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ |

 |
แวะขอพรสักหน่อย |
และจากการเคี่ยวกรำขาของตัวเองอย่างหนัก มันก็นำพาให้เรามาเจอกับน้ำตกที่สวยงาม นั่งชมธรรมชาติแบบขาสั่นๆ อยู่นาน แล้วก็ต้องตัดใจเดินกลับลงไป
เพราะไม่งั้นเดี๋ยวเวลาไม่พอ ปราสาทโอซาก้าจะปิดซะก่อน
ขาลงเร็วหน่อยเป็นทางลาดซะเยอะ
 |
คุ้มค่ากับระยะทางที่เดินจริงๆ |






จากนั้นเราก็นั่งรถไฟกลับไปสถานี Umeda แล้วเดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Osaka
เพื่อไปยัง สถานี Morinomiya
และเดินต่อไปยังปราสาทโอซาก้าได้เลย ซึ่งก่อนจะถึงตัวปราสาทนั้นมันจะต้องเดินผ่านสวนสาธารณะที่กว้างใหญ่ และขาที่ล้าจากการเดินไปน้ำตกก็คงจะพาเราไปไม่ถึงตัวปราสาทแน่ๆ แต่เหมือนฟ้าจะยังเห็นใจคน(เกือบ)พิการ
ระหว่างที่กำลังถอดใจ ถ่ายรูปปราสาทจากที่ไกลๆ อยู่นั้น ก็มีรถรางวิ่งผ่านหน้าไป และพนักงานคงเห็นไอ้ 4 คน
นี้หน้าตาดูอยากรู้อยากเห็น ก็รีบปรี่เข้ามา รัวญี่ปุ่นใส่ทันที
พนักงานอาจจะตั้งสติได้เห็นไอ้พวกนี้ทำหน้างง เลยปรับเป็นภาษาอังกฤษ
แล้วลากเรามาหน้าเครื่องขายตั๋ว พร้อมชี้รูปแผนที่ให้ดูว่า
ไอ้รถนี่จะมาพวกขี้เกียจ ขาง่อย อย่างพวกมึง ไปถึงทางเข้าตัวปราสาทเลยนะ มีตั๋วราคาแบบเที่ยวเดียว กับแบบไป และกลับมาส่งที่เดิม ควักตังทันทีแบบ ไป-กลับ 4 ใบ ค่ะ
 |
ตั๋วรถรางแบบ ไป-กลับ |
 |
รถรางจะจอดบริเวณนี้ |
 |
ถ้าไม่มีนายเราแย่เลยนะ |
ในส่วนของข้างในตัวปราสาทพวกเราไม่ได้ขึ้นไปค่ะ
ก็ถ่ายรูปกันอยู่แถวรอบๆ เท่านั้น พอ 4
โมง เกือบ 5 โมง ที่นี่ก็เริ่มมืดแล้ว
เราก็เดินทางต่อไปที่ย่านโดทงโบริ เพื่อไปหาอะไรกิน ก็เปิดเว็บ http://www.hyperdia.com/en/ เพื่อหาเส้นทางที่ใช้ไปสถานีนัมบะ พอโผล่ขึ้นมาจากสถานีใต้ดินก็ต้องปะทะกับลมหนาว
อากาศตอนพระอาทิตย์ตกดินแล้วมันหนาวจริงๆ
ก่อนมาญี่ปุ่นก็เล็งร้านนึงไว้แล้ว นั้นคือ ร้าน Isomaru Suisan ร้านมันปูย่าง
นั้นเอง พอถึงร้านก็รีบปรี่เข้าไปด้วยความหิว แต่!!! กับต้องชะงัก
กับ....พนักงานต้อนรับที่....หน้าตาดีมากกกกกค่า
งานดีงานจอนนี่จูเนียร์
แถมต้อนรับบริการอย่างดี
แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณคิดว่ามีคนเดียว ขอบอกเลยว่าคุณคิดผิด พนักงานที่นี่ทั้งหมดเขาคัดหน้าตากันใช่ไหมค่ะ
พูด!!!
หล่อยันคนปั้นซูชิ
ประทับใจอีกอย่างนึงคือ ตอนอ่านรีวิวร้านนี้จากท่านอื่นๆ ในพันทิป
ก็จะสังเกตเห็นเตาย่างเล็กๆ ก็เข้าใจว่าคงให้ย่างเอง แต่ที่นี่พนักงานหนุ่มน้อยหน้ามน
บริการย่างให้ทุกอย่างเลยค่า ดีต่อใจมากๆ
ส่วนเรื่องอาหารอร่อยมากค่ะ
ทุกอย่างสดมาก
 |
หน้าร้าน Isomaru Suisan |
 |
พนักงานหนุ่มน้อยหน้ามน |
 |
มันปูย่างหอมๆ ราดบนข้าวสวยร้อนๆ |
 |
หอยเชลล์ย่าง |
 |
สักคำไหม |
 |
อร่อยมาก สดใช้ได้เลย |
พอกินอิ่มแล้วเราก็กะจะไปเดินเล่นกัน
แต่เนื่องจากวันนี้ใช้ร่างกายอย่างหนักทั้งวัน พอมาถึงนี่ร่างกายก็แทบจะคลานกันแล้ว
เลยไม่ได้เดินหาของกินเล่นอะไรกันเลย เจอป้ายกูลิโกะแล้ว ก็ตัดสินใจกลับที่พัก เพื่อเก็บแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ที่จะต้องไป Universal กัน
 |
มาถึงตรงนี้ก็แบตหมดกันแล้ว |

ที่พักที่แรกในคืนนี้ของเรา คือ HOSTEL
ZOO อยู่ห่างจาก สถานี Numba 2 สถานี นั่งไปลงที่ สถานี Dobutsuen-Mae ออก ทางออกที่ 2 เดินไม่ไกลก็ถึงที่พัก
พอเราทำเรื่องเช็คอินเสร็จ เราก็พบกับเรื่องช็อค
นั้นก็คือ...ที่นี่ไม่มีลิฟต์จ้า.....เออ...และได้ที่พักชั้น3 จ้า....เย้!! รออะไรค่ะ แบกกระเป๋าเดินทาง 28
นิ้ว หนัก ประมาณ 25 โล ขึ้นไปสิค่ะ
น้ำตาแทบไหล หลังแทบยอก
มาพูดถึงตัวที่พักกันบ้าง ห้องพักที่นี่จะเป็นแบบห้องน้ำแยก คือ ในแต่ละชั้นจะมีห้องส้วมกับที่ล้างหน้าให้ แต่ห้องอาบน้ำจะต้องลงมาใช้ที่ชั้นล่างสุด เป็นแบบแยก ชาย-หญิง ในห้องพักก็จะมีแค่เตียง 2 ชั้น 2 เตียง มีทีวี มีผ้าเช็ดตัวให้ มีแก้วน้ำ มีถังขยะ มีแอร์ให้ แต่พื้นที่ห้องแคบมาก วางกระเป๋า 28 นิ้ว 4 ใบ ไปแทบไม่มีที่เดิน ส่วนห้องอาบน้ำชั้นล่าง เดินเข้าไปจะมี ห้องส้วม อ่างล้างหน้า ห้องอาบน้ำ 3 ห้อง และมีล็อคเกอร์ให้ไว้เก็บของ ในห้องอาบน้ำก็จะมีสบู่เหลว แชมพู ครีมนวดผมให้ แต่ห้องแคบมากๆ ชั้นล่างนั้นมีพื้นที่ส่วนกลางไว้ให้นั่งทานข้าวด้วย แต่ไม่ใหญ่มาก ข้อดีของที่พักนี้ก็คือ ราคาไม่แพง แถมติดกับรถไฟฟ้าใต้ดินเลย และเจ้าของที่พักที่นี่คือดีมากๆๆ ดียังไงเดี๋ยวจะมาเล่าตอนเช็คเอ้าท์ให้ฟังนะ
----------------- จบการเดินทางในวันที่ 2 -----------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น