
วันนี้เป็นวันที่จะต้องเปลี่ยนที่พักไปพักที่เกียวโต และที่ HOSTEL
ZOO จะต้องเช็คเอ้าท์ก่อน 10 โมงเช้า
เนื่องจากที่นี่ไม่มีลิฟต์
เราจึงเตรียมใจที่จะต้องขนกระเป๋าหนัก 20-25 โล ลงบันได 3 ชั้น พอเปิดประตูไปก็เจอพนักงาน
กับป้าเจ้าของที่พักกำลังทำความสะอาดห้องตรงข้ามอยู่ เขาเห็นเราเอากระเป๋าออกมาก็มาช่วยยกลงบันไดไปให้ แม้กระทั่งป้าเจ้าของที่พักที่อายุน่าจะ 60
อัพแล้ว แต่เขาพยายามที่จะแย่งกระเป๋าเพื่อน(เป็นผู้ชาย)ที่เหลืออยู่ 1 ใบ เพื่อที่จะยกลงไปให้
ยื้อแย่งกันอยู่นาน เลยตกลงกันได้ที่จะช่วยกัน 2 คน (เพื่อนกับป้า) ยกลงไปด้านล่าง
บริการน่ารักไปอีก
ก่อนออกเดินทางเราก็ไปซื้ออาหารมานั่งกินที่ส่วนกลางของที่พัก ป้าเจ้าของก็มาชวนคุย
ถามว่าเราเป็นคนประเทศอะไร
ตัวเขาไปเที่ยวประเทสไทยทุกปีเลยนะ แล้วก็มาถึงหัวข้อสนทนาที่เป็นจุดพีค ป้าเดินเข้ามาจับมือเรา กุมไว้เบาๆ พร้อมกับบอกเราว่า
“ขอแสดงความเสียใจเรื่องพระมหากษัตริย์ของคุณด้วยนะ” สีหน้าท่าทางของป้าแสดงออกถึงความเสียใจอย่างมาก ณ
ตอนนั้นความรู้สึกเรามันตื้นตัน มันจุก น้ำตาคลอเลย ป้าบอกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9
ท่านเป็นคนที่วิเศษมากจริงๆ
หลังจากกินอิ่มแล้วเราก็เตรียมออกเดินทางไปเกียวโต เนื่องจากทางขึ้น-ลงสถานีรถไฟ
หน้าที่พักมันมีแต่บันไดเลื่อนทางขึ้น และบันไดธรรมดาให้เดินขึ้น-ลง เราจึงเดินไปหาทางออกอื่นที่มีบันไดเลื่อนลง
หรือลิฟต์ แต่ทว่ามันไม่มีเลย...ช็อค!!! จึงจำใจยกกระเป๋าลงบันได(ไม่เลื่อน)
ลงไปอย่างทุลักทุเล
 |
อาหารเช้าจาก FamilyMart |
 |
อาหารเช้าจาก FamilyMart |
 |
อาหารเช้าจาก FamilyMart |
หลังจากนั่งรถไฟอยู่ประมาณ 40 นาที เราก็มาถึงเมืองเกียวโตแล้ว
งานยากอันต่อไปคือการหาทางออกจากสถานีเกียวโตอันกว้างใหญ่แห่งนี้
บอกตามตรงตอนลงจากรถไฟมา ยืนเอ๋อแดกไปพักนึงเลยทีเดียว ไหนจะฝูงชนอันมหาศาลที่เดินกันขวักไขว่
ไหนจะป้ายบอกทางที่มีให้เลือกร้อยแปด
หลังจากตั้งสติได้ก็เดินไปถามทางกับร้านค้าแถวๆ นั้น
ซึ่งอยากจะบอกว่าคนที่นี่นิสัยน่ารักมาก
ขนาดพนักงานร้านน้ำปั่นที่สื่อสารกับเราไม่รู้เรื่อง แต่เข้าใจว่าเราจะไปที่ไหน
ยังพยายามที่จะบอกทาง มีเดินออกมาหน้าร้านเพื่อที่จะชี้ทางให้เราเห็นมุ่งมั่นมากๆ และที่พักในเกียวโตนี้เราพักกันที่ Piece Hostel Kyoto (http://www.piecehostel.com/kyoto/en/access/index.html) ในเว็บจะมีบอกเส้นทางไว้อย่างละเอียดมาก เราเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ที่พักก่อน
 |
แผนที่ จากเว็บไซต์โฮสเทล |
 |
มีอธิบายการเดินออกจากสถานีเกียวโต |
จากนั้นก็กลับมาที่สถานีเกียวโตที่เดิม
ห่างจากที่พักไม่ไกลเลยสะดวกมากๆ
จุดมุ่งหมายต่อไปคือ วัดเอคันโด (Eikando Temple) เราเลยต้องไปขึ้นรถบัสกัน
เป็นการขึ้นรถบัสในญี่ปุ่นครั้งแรก ตื่นเต้นๆ
หลังจากซื้อตั๋ว One Day เสร็จ
ก็ไปรอตรงช่องรอรถ(รอช่องไหน...อันนี้สามารถถามพนักงานแถวๆ นั้นได้เลย)
ขึ้นรถมาก็เดินไปนั่งหลังสุดเลย
รถบัสที่นี่จอดรับ-ส่ง ผู้โดยสารอย่างรู้สึกถึงความปลอยภัยต่อชีวิต
และทรัพย์สินมากๆ
บนรถจะมีหน้าจอบอกว่าป้ายหน้าที่จะจอดคือป้ายไหน ก็นั่งเล็งกันไป
เนื่องจากเราขึ้นป้ายแรกพื้นที่ภายในรถก็จะโล่งโปร่งสบาย
พอระยะทางเริ่มไกลขึ้น พื้นที่ก็เริ่มน้อยลงๆ
และรู้สึกว่าบนรถที่นี่หน้าหนาวเขาจะเปิดฮีสเตอร์
พอคนเยอะมันก็เพิ่มร้อนแถมเสื้อโค้ทก็ไม่ได้ถอด นั่งหลังสุดอีก
หน้าต่างก็เปิดไม่ได้ ตอนนั้นกว่าจะถึงป้ายลง ก็เกือบขาดอากาศตาย บนรถร้อนเกือบตาย
แต่พอลงรถมาอากาศข้างนอกหนาวเย็นมากๆ ปรับตัวแทบไม่ทัน
 |
ที่สำหรับซื้อตั๋วรถบัสต่างๆ |
 |
ตั๋ว One Day จะซื้อกับพนักงาน(ที่ซื้อตั๋วตามภาพด้านบน) หรือจะกดตู้เอาก็ได้ (ตู้จะอยู่ตามป้ายรอรถบัส) ซื้อกับคนขับรถบัสก็ยังได้ |
จากป้ายรถบัสก็จะต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อยถึงจะเจอวัดเอคันโด พอเดินผ่านเข้าประตูวัดไปก็พบกับสีสันของใบไม้แดงที่มันช่างสวยบาดใจตลอดเส้นทาง ที่นี่คนเยอะมากๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเบียดเสียด
 |
เข้ามาก็เจอใบไม้แดงเลย |
 |
ซื้อตั๋วเข้ากันก่อน คนละ 1,000 เยน |
 |
เริ่มลุยได้ |
 |
มุมยอดฮิต |
 |
เดินมาเจอร้านน้ำชา น่านั่งมาก |
 |
จัดชุดใหญ่มาเลย จิบชาชมบรรยากาศ ฟินนนนน |
 |
อร่อยดี แต่หวานนนน พอแกลมกับชาก็โอเค เพราะชาจะออกขม |
 |
หวานเช่นกัน (เอ้าก็เขาให้กินกับชา 555) |
 |
ลองชาเขียวแท้ๆ หน่อยสิ ขอบอกเลยว่าถ้วยใหญ่มาก แนะนำให้สั่งถ้วยเดียวแล้วแบ่งกันกิน ขนมในห่อขาวที่แถมมาบอกเลยอร่อยมาก |
 |
ได้เวลากลับแล้ว |
ตอนไปถึงที่นี่ก็บ่าย
2 นิดๆ แล้ววัดปิด 5 โมงเย็น เลยมีเวลาเดินไม่เยอะ อยู่กันจนวัดปิด แต่ที่นี่ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเข้าจะมีจัด
Light-up ด้วย
ตอนที่เดินออกมาก็เริ่มมีคนมาต่อแถวรอเข้าไปดูช่วง Light-up กันแล้ว จริงๆ
คิดไว้ว่าจะไปต่อที่วัดนันเซนจิ แต่เนื่องจากเวลา
และความเชื่องช้าอ้อยอิ่งทำให้พลาดไป (รอทริปหน้าๆ) ในเมื่อฟ้ามืดแล้ว(ถึงจะพึ่ง 5 โมง ก็ตาม)
เราเลยจะไปหาของกินกัน เป้าหมาย คือ ราเมงน้ำดำ KYOTO GOGYO ก็ลงที่ป้ายแถวๆ ถนนคาวารามาจิโดริ แล้วก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ผ่านซอย shinkyogoku (ซอยละลายทรัพย์) ผ่านตลาดเก่า (Nishiki Market)
จนมาถึงร้านเป้าหมาย(ขาลากกันเลยทีเดียว) ตัวหน้าร้านมีความมืดทะมึนเล็กน้อย(เลยไม่มีรูป) พอเข้าไปพนักงานก็จะพาเราไปที่โต๊ะ เราได้นั่งชั้น 2 แล้วก็จะมีเมนูมาให้ ที่นี่จะมีแบบพิเศษด้วยคือ
เพิ่มเส้น เพิ่มหมู ด้วยความหน้ามืด หิวระดับแดกควายธนูแบบตัวโตเต็มวัยได้ เลยสั่งแบบพิเศษสุดๆ มา
สรุปตอนจบท้องแทบแตก มีคนที่ไม่ได้ไปต่อ(กินไม่หมด)
นี่แหละจุดจบของพวกปากกว้างกว่าท้อง 5555
ขากลับเรามีแวะร้านปาจิงโกะ ลองเล่นกันเล็กน้อย ก็งงๆ กันไปเล่นไม่เป็น
ได้เป็นขนมหน้าตาโง่ๆ มา 2 อย่าง
 |
เดินคลำทางตาม Google Map ไปเรื่อยๆ |
 |
เจ้าหมึกนี่อร่อยมาก |
 |
อันนี้เป็นแบบพิเศษเพิ่มเส้น |
 |
อันนี้พิเศษ แต่ไม่เพิ่มเส้น |
 |
มีเจ้านี่มาให้กินก่อน อร่อยดี (แต่เหมือนเสียตังเพิ่ม) |
 |
ขากลับแวะเปิดหูเปิดตา |
พอไปถึงที่พัก
เนื่องจากตอนที่มาฝากกระเป๋าเรายังเช็คอินไม่ได้ พนักงานก็เลยพาเราไปแนะนำส่วนต่างๆ
ครั้งนี้ได้พักชั้น 4 แต่มีลิฟต์นาจา 555
ที่นี่จะมีส่วนกลางไว้ให้ทานอาหาร มีจาน ชาม ช้อน น้ำร้อน ชา กาแฟ ตู้เย็น
และมีตู้กดน้ำดื่มให้ สำหรับคนไม่ชินการดื่มน้ำก๊อก ทุกอย่างที่ใช้จะต้องล้าง เช็ด เก็บเข้าที่ด้วย ที่นี่จะเป็นห้องน้ำแยก ที่อาบน้ำจะอยู่ชั้น 1 มีประมาณ 6 ห้อง
ในห้องอาบน้ำกว้างขวางดีมีกั้นระหว่างที่แขวนเสื้อ กับโซนที่อาบน้ำด้วย
ข้างในมีสบู่ แชมพู และครีมนวดให้ (ขวดใหญ่มากๆ)
ถัดจากห้องอาบน้ำก็จะมีโซนอ่างล้างหน้า สำหรับ ไว้เช็ดหน้า ไดร์ผม
ด้วย ส่วนห้องส้วมจะมีอยู่ตามชั้นต่างๆ ที่ชอบที่นี่มากๆ คือ มีหมอนให้หยิบได้ไม่อั้น
และที่นอนนิ่มมาก คือดีอ่า ที่นี่มีอาหารเช้าให้ด้วยนะ
ก็จะเป็นพวกขนมปัง แยมต่างๆ ไข่ต้ม ชุปสำเร็จรูป และแกงกะหรี่ (อันนี้อร่อยมาก)
แต่ถ้าลงมาช้าแต่ละอย่างก็จะไม่ค่อยเหลือเท่าไหร่นะ
 |
ห้องที่ได้ในทริปนี้ |
 |
เตียงนุ่มสบายมากๆ หลับสนิทเลย |
----------------- จบการเดินทางในวันที่ 4 -----------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น