วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560

Japan Days 4 : มุ่งหน้าสู่เกียวโต วัดเอคันโด


           วันนี้เป็นวันที่จะต้องเปลี่ยนที่พักไปพักที่เกียวโต และที่ HOSTEL ZOO จะต้องเช็คเอ้าท์ก่อน 10 โมงเช้า เนื่องจากที่นี่ไม่มีลิฟต์  เราจึงเตรียมใจที่จะต้องขนกระเป๋าหนัก 20-25 โล ลงบันได 3 ชั้น  พอเปิดประตูไปก็เจอพนักงาน กับป้าเจ้าของที่พักกำลังทำความสะอาดห้องตรงข้ามอยู่ เขาเห็นเราเอากระเป๋าออกมาก็มาช่วยยกลงบันไดไปให้  แม้กระทั่งป้าเจ้าของที่พักที่อายุน่าจะ 60 อัพแล้ว แต่เขาพยายามที่จะแย่งกระเป๋าเพื่อน(เป็นผู้ชาย)ที่เหลืออยู่ 1 ใบ เพื่อที่จะยกลงไปให้ ยื้อแย่งกันอยู่นาน เลยตกลงกันได้ที่จะช่วยกัน 2 คน (เพื่อนกับป้า) ยกลงไปด้านล่าง บริการน่ารักไปอีก  ก่อนออกเดินทางเราก็ไปซื้ออาหารมานั่งกินที่ส่วนกลางของที่พัก  ป้าเจ้าของก็มาชวนคุย ถามว่าเราเป็นคนประเทศอะไร  ตัวเขาไปเที่ยวประเทสไทยทุกปีเลยนะ  แล้วก็มาถึงหัวข้อสนทนาที่เป็นจุดพีค  ป้าเดินเข้ามาจับมือเรา กุมไว้เบาๆ พร้อมกับบอกเราว่า ขอแสดงความเสียใจเรื่องพระมหากษัตริย์ของคุณด้วยนะสีหน้าท่าทางของป้าแสดงออกถึงความเสียใจอย่างมาก ณ ตอนนั้นความรู้สึกเรามันตื้นตัน มันจุก น้ำตาคลอเลย ป้าบอกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านเป็นคนที่วิเศษมากจริงๆ   หลังจากกินอิ่มแล้วเราก็เตรียมออกเดินทางไปเกียวโต  เนื่องจากทางขึ้น-ลงสถานีรถไฟ หน้าที่พักมันมีแต่บันไดเลื่อนทางขึ้น และบันไดธรรมดาให้เดินขึ้น-ลง เราจึงเดินไปหาทางออกอื่นที่มีบันไดเลื่อนลง หรือลิฟต์ แต่ทว่ามันไม่มีเลย...ช็อค!!! จึงจำใจยกกระเป๋าลงบันได(ไม่เลื่อน) ลงไปอย่างทุลักทุเล

อาหารเช้าจาก FamilyMart
อาหารเช้าจาก FamilyMart
อาหารเช้าจาก FamilyMart
            หลังจากนั่งรถไฟอยู่ประมาณ 40 นาที เราก็มาถึงเมืองเกียวโตแล้ว  งานยากอันต่อไปคือการหาทางออกจากสถานีเกียวโตอันกว้างใหญ่แห่งนี้  บอกตามตรงตอนลงจากรถไฟมา ยืนเอ๋อแดกไปพักนึงเลยทีเดียว ไหนจะฝูงชนอันมหาศาลที่เดินกันขวักไขว่  ไหนจะป้ายบอกทางที่มีให้เลือกร้อยแปด  หลังจากตั้งสติได้ก็เดินไปถามทางกับร้านค้าแถวๆ นั้น ซึ่งอยากจะบอกว่าคนที่นี่นิสัยน่ารักมาก ขนาดพนักงานร้านน้ำปั่นที่สื่อสารกับเราไม่รู้เรื่อง แต่เข้าใจว่าเราจะไปที่ไหน ยังพยายามที่จะบอกทาง มีเดินออกมาหน้าร้านเพื่อที่จะชี้ทางให้เราเห็นมุ่งมั่นมากๆ  และที่พักในเกียวโตนี้เราพักกันที่ Piece Hostel Kyoto (http://www.piecehostel.com/kyoto/en/access/index.html) ในเว็บจะมีบอกเส้นทางไว้อย่างละเอียดมาก เราเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ที่พักก่อน 


แผนที่ จากเว็บไซต์โฮสเทล
มีอธิบายการเดินออกจากสถานีเกียวโต
            จากนั้นก็กลับมาที่สถานีเกียวโตที่เดิม ห่างจากที่พักไม่ไกลเลยสะดวกมากๆ  จุดมุ่งหมายต่อไปคือ วัดเอคันโด (Eikando Temple)  เราเลยต้องไปขึ้นรถบัสกัน เป็นการขึ้นรถบัสในญี่ปุ่นครั้งแรก ตื่นเต้นๆ  หลังจากซื้อตั๋ว One Day เสร็จ ก็ไปรอตรงช่องรอรถ(รอช่องไหน...อันนี้สามารถถามพนักงานแถวๆ นั้นได้เลย) ขึ้นรถมาก็เดินไปนั่งหลังสุดเลย  รถบัสที่นี่จอดรับ-ส่ง ผู้โดยสารอย่างรู้สึกถึงความปลอยภัยต่อชีวิต และทรัพย์สินมากๆ  บนรถจะมีหน้าจอบอกว่าป้ายหน้าที่จะจอดคือป้ายไหน ก็นั่งเล็งกันไป  เนื่องจากเราขึ้นป้ายแรกพื้นที่ภายในรถก็จะโล่งโปร่งสบาย พอระยะทางเริ่มไกลขึ้น พื้นที่ก็เริ่มน้อยลงๆ  และรู้สึกว่าบนรถที่นี่หน้าหนาวเขาจะเปิดฮีสเตอร์ พอคนเยอะมันก็เพิ่มร้อนแถมเสื้อโค้ทก็ไม่ได้ถอด นั่งหลังสุดอีก หน้าต่างก็เปิดไม่ได้ ตอนนั้นกว่าจะถึงป้ายลง ก็เกือบขาดอากาศตาย  บนรถร้อนเกือบตาย แต่พอลงรถมาอากาศข้างนอกหนาวเย็นมากๆ ปรับตัวแทบไม่ทัน   

ที่สำหรับซื้อตั๋วรถบัสต่างๆ
ตั๋ว One Day จะซื้อกับพนักงาน(ที่ซื้อตั๋วตามภาพด้านบน) หรือจะกดตู้เอาก็ได้ (ตู้จะอยู่ตามป้ายรอรถบัส) ซื้อกับคนขับรถบัสก็ยังได้
           จากป้ายรถบัสก็จะต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อยถึงจะเจอวัดเอคันโด  พอเดินผ่านเข้าประตูวัดไปก็พบกับสีสันของใบไม้แดงที่มันช่างสวยบาดใจตลอดเส้นทาง  ที่นี่คนเยอะมากๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเบียดเสียด

เข้ามาก็เจอใบไม้แดงเลย

ซื้อตั๋วเข้ากันก่อน คนละ 1,000 เยน
เริ่มลุยได้










มุมยอดฮิต











เดินมาเจอร้านน้ำชา น่านั่งมาก

จัดชุดใหญ่มาเลย จิบชาชมบรรยากาศ ฟินนนนน
อร่อยดี แต่หวานนนน พอแกลมกับชาก็โอเค เพราะชาจะออกขม
หวานเช่นกัน (เอ้าก็เขาให้กินกับชา 555)
ลองชาเขียวแท้ๆ หน่อยสิ  ขอบอกเลยว่าถ้วยใหญ่มาก แนะนำให้สั่งถ้วยเดียวแล้วแบ่งกันกิน ขนมในห่อขาวที่แถมมาบอกเลยอร่อยมาก







ได้เวลากลับแล้ว

            ตอนไปถึงที่นี่ก็บ่าย 2 นิดๆ แล้ววัดปิด 5 โมงเย็น เลยมีเวลาเดินไม่เยอะ อยู่กันจนวัดปิด แต่ที่นี่ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเข้าจะมีจัด Light-up ด้วย  ตอนที่เดินออกมาก็เริ่มมีคนมาต่อแถวรอเข้าไปดูช่วง Light-up กันแล้ว  จริงๆ คิดไว้ว่าจะไปต่อที่วัดนันเซนจิ แต่เนื่องจากเวลา และความเชื่องช้าอ้อยอิ่งทำให้พลาดไป (รอทริปหน้าๆ)  ในเมื่อฟ้ามืดแล้ว(ถึงจะพึ่ง 5 โมง ก็ตาม) เราเลยจะไปหาของกินกัน เป้าหมาย คือ ราเมงน้ำดำ KYOTO GOGYO  ก็ลงที่ป้ายแถวๆ ถนนคาวารามาจิโดริ  แล้วก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ ผ่านซอย shinkyogoku (ซอยละลายทรัพย์)  ผ่านตลาดเก่า (Nishiki Market) จนมาถึงร้านเป้าหมาย(ขาลากกันเลยทีเดียว) ตัวหน้าร้านมีความมืดทะมึนเล็กน้อย(เลยไม่มีรูป) พอเข้าไปพนักงานก็จะพาเราไปที่โต๊ะ เราได้นั่งชั้น 2  แล้วก็จะมีเมนูมาให้ ที่นี่จะมีแบบพิเศษด้วยคือ เพิ่มเส้น เพิ่มหมู ด้วยความหน้ามืด หิวระดับแดกควายธนูแบบตัวโตเต็มวัยได้ เลยสั่งแบบพิเศษสุดๆ มา สรุปตอนจบท้องแทบแตก มีคนที่ไม่ได้ไปต่อ(กินไม่หมด) นี่แหละจุดจบของพวกปากกว้างกว่าท้อง 5555  ขากลับเรามีแวะร้านปาจิงโกะ ลองเล่นกันเล็กน้อย ก็งงๆ กันไปเล่นไม่เป็น ได้เป็นขนมหน้าตาโง่ๆ มา 2 อย่าง  


เดินคลำทางตาม Google Map ไปเรื่อยๆ
เจ้าหมึกนี่อร่อยมาก
อันนี้เป็นแบบพิเศษเพิ่มเส้น
อันนี้พิเศษ แต่ไม่เพิ่มเส้น
มีเจ้านี่มาให้กินก่อน อร่อยดี (แต่เหมือนเสียตังเพิ่ม)
ขากลับแวะเปิดหูเปิดตา
           พอไปถึงที่พัก เนื่องจากตอนที่มาฝากกระเป๋าเรายังเช็คอินไม่ได้ พนักงานก็เลยพาเราไปแนะนำส่วนต่างๆ ครั้งนี้ได้พักชั้น 4 แต่มีลิฟต์นาจา 555  ที่นี่จะมีส่วนกลางไว้ให้ทานอาหาร มีจาน ชาม ช้อน น้ำร้อน ชา กาแฟ ตู้เย็น และมีตู้กดน้ำดื่มให้ สำหรับคนไม่ชินการดื่มน้ำก๊อก  ทุกอย่างที่ใช้จะต้องล้าง เช็ด เก็บเข้าที่ด้วย  ที่นี่จะเป็นห้องน้ำแยก  ที่อาบน้ำจะอยู่ชั้น 1 มีประมาณ 6 ห้อง ในห้องอาบน้ำกว้างขวางดีมีกั้นระหว่างที่แขวนเสื้อ กับโซนที่อาบน้ำด้วย ข้างในมีสบู่ แชมพู และครีมนวดให้ (ขวดใหญ่มากๆ)  ถัดจากห้องอาบน้ำก็จะมีโซนอ่างล้างหน้า สำหรับ ไว้เช็ดหน้า ไดร์ผม ด้วย  ส่วนห้องส้วมจะมีอยู่ตามชั้นต่างๆ  ที่ชอบที่นี่มากๆ คือ มีหมอนให้หยิบได้ไม่อั้น และที่นอนนิ่มมาก คือดีอ่า  ที่นี่มีอาหารเช้าให้ด้วยนะ ก็จะเป็นพวกขนมปัง แยมต่างๆ ไข่ต้ม ชุปสำเร็จรูป และแกงกะหรี่ (อันนี้อร่อยมาก) แต่ถ้าลงมาช้าแต่ละอย่างก็จะไม่ค่อยเหลือเท่าไหร่นะ
ห้องที่ได้ในทริปนี้
เตียงนุ่มสบายมากๆ หลับสนิทเลย


----------------- จบการเดินทางในวันที่ 4 -----------------




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น