วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

รีวิว Buffet Salmon ร้าน Neta sushi By แก๊งหอยทากทัวร์


 ร้าน Neta Sushi สาขา The Sense ปิ่นเกล้า  เคยได้ไปกินมาประมาณ 4 ครั้งแล้ว  ครั้งแรกไปกินตั้งแต่ร้านนี้เปิดเป็นบุฟเฟ่ต์ใหม่ๆ  เมนูยังไม่เยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะมีแต่ปลาแซลมอน  พอครั้งล่าสุดที่ได้ไปกินมาเมื่อต้นเดือนตุลา 59  เมนูเยอะขึ้นมาก อาหารมีหลากหลายขึ้น มีเนื้อวากิว มีชีส มีซาบะ มีเทมปุระ ฯลฯ  และอาหารมาเสิร์ฟดูเร็วขึ้น หรือเพราะครั้งนี้ไปกินตอนเทศกาลกินเจคนเลยน้อย เลยดูแลทั่วถึง 5555  แต่เวลาสั่งอะไรไปแล้วของหมด ไม่มีการมาแจ้งลูกค้าหน่อย ปล่อยให้นั่งรออย่างมีความหวัง จะสั่งอย่างอื่นเพิ่มก็ไม่กล้า  กลัวมาพร้อมกันแล้วจุก  ไปครั้งนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย ขอเอารูปเก่ามารีวิวละกัน

พิกัด ตั้งอยู่ที่ The Sense ปิ่นเกล้า (มีที่จอดรถในอาคาร)
เปิดทุกวัน 11.00 น. - 22.30 น.
สามารถนั่งทานได้ไม่เกิน 90 นาที
ราคา 499++ (ไม่รวมเครื่องดื่ม และ Service Charge)
เนื่องจากร้านนี้ค่อนข้างเล็ก แล้วก็พนักงานน้อย ยังไงรอกันหน่อยอย่าโมโหหิวกันซะก่อนน้า 55555
โทรสอบถามเพิ่มเติม 02-884-6146

ตอนนี้เมนูทางร้านว่ามีประมาณ 100 เมนู
ก็จะมีเป็นซาซิมิ  ซูชิ โรล ย่าง ซุป  ยำ  สลัด แถมมีเป็นแบบแช่น้ำปลา ซะด้วย
ที่ร้านจะมีน้ำจิ้มแบบซีฟู๊ดด้วย ใครอยากแก้เลี่ยน สามารถขอกับทางพนักงานได้เลยค่ะ


ซูชิแซลมอนเผาไฟราดมิโซะ  เนื้อนุ่มๆ ละลายในปาก




ปลาแซลมอนย่างซีอิ๋ว และย่างมิโซะ  เนื้อปลาย่างได้กำลังดี (ตอนนี้มีย่างเทอริยากิเพิ่มมา)



แซลมอนสไปซี่โรล เผ็ดนิดๆ แก้เลี่ยนได้ดี



แซลมอนซาซิมิ มาแบบชิ้นหนาๆ ลายสวยๆ




หนังปลาทอดกรอบ (เคยเจอบางอันแอบไม่กรอบนะ แต่ก็อร่อยดี)


แซลมอนโรล  มาแบบเยอะมากกินคนเดียวมีจุก


ยำแซลมอน  อร่อยมาก สั่งเบิ้ลตลอด (ตอนนี้มียำหนังปลาด้วย ชอบมากกก)


ตบท้ายด้วยหัวปลาแซลมอน (ถึงหน้าตามันจะ.... แต่พอวางปุ๊บก็กินเรียบไม่เหลือ 5555)




จบทริปด้วยอาการแน่นท้อง ร้องหาอีโนกันไป...

สรุป
- อาหารอร่อยดีค่ะ  ที่ชอบคือมีน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสชาติที่ถูกปากไว้แก้เลี่ยน
- แซลมอนซาซิมิ หั่นหนาไปหน่อย
- พวกโรลมาเป็นเซ็ตแบบหลายชิ้น คืออยากกินอีก 2 ชิ้น แต่ต้องสั่งมาทั้งเซตก็ไม่ไหวอ่า
  (มารู้ทีหลังว่าระบุจำนวนชิ้นที่อยากกินได้)
- ข้าวซูชิเยอะไปหน่อย ทำให้หลีกเลี่ยงการสั่ง 5555
- อย่าสั่งไก่คาราเกะ เด็ดขาด ตอนไปกินโดนเหมือนเอาของเก่ามาทอดซ้ำให้ ไม่ดีอย่างแรง

ไปกินกัน 4 คน ตกคนละ ประมาณ 580 บาท (ชาเขียวเย็น กับน้ำองุ่น รีฟิล+service charge 10%) 




วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Come back to Chiang Mai

ปลายมกราคม 2554


จากการเดินทางที่แล้ว เราก็มีเหตุให้ต้องไปเชียงใหม่อีกรอบ (คราวนี้ไปฟรี) มาคราวนี้เราได้ไป TIGER KINGDOM คุ้มเสือ ที่แม่ริม เชียงใหม่ ที่นี่เปิดทุกวัน ในส่วนของ Park เปิดเวลา 09:00 – 18:00 น.  ในส่วนของร้านอาหาร 08:00 – 22:00 น. ที่นี่จะเข้าชมเสือได้ 4 ขนาด  ส่วนราคาน่าจะเริ่มต้นที่ 400++ ตอนไปเราก็ได้เข้าไปถ่ายกับเสือโต และเสือเด็ก


หน้าตาเสือเหมือนจะบอกว่า " เพื่อนเล่นหรอมึง " สักป้าบไหมหล่ะ


พอพนักงานสั่งให้เอามือเท้า ดูจากสีหน้าแล้วข้าพเจ้าเต็มใจมาก และไม่ได้กลัวเลยจริงจริ๊ง!!!

เสือบอก กูไม่ใช้โถกรวดน้ำนะมึง แหม!!! เอามือมาแตะกูกันใหญ่

ในส่วนของการรักษาความปลอดภัยน้าน(เสียงคุณพุดเดิ้ล ในตะลุยกองถ่าย) ก็จะมีพนักงานถือไม้ง่อยๆ ที่ถ้าเสือเกิดหิวหน้ามืดขึ้นมา พนักงานก็จะใช้วิชากระบี่กระบองที่ได้ร่ำเรียนมาเมื่อสมัยมัธยมจัดการกับเจ้าเสือร้ายตัวนั้น แล้วพวกเราก็จะปลอดภัย  ล้อเล่นๆ ที่นี่เขาจะให้คนเลี้ยงเสือตั้งแต่เสือยังเล็กๆ เลยทำให้เสือคุ้นเคยกับคน และมีการผลัดเปลี่ยนเสือสำหรับให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเรื่อยๆ ทำให้เสือไม่เครียด เจ้าหน้าที่จะคอยบอกลักษณะการจับ การเข้าหาเสือ ตลอดเวลา

เล่นกับเสือเด็ก

วันถัดมาของทริปครั้งนี้ เราได้โบกรถแดงขึ้นไปที่ขุนช่างเคียน เพื่อไปดูซากุระเมืองไทยกัน(เสิร์ซหาข้อมูลเมื่อคืน สดๆ ร้อนๆ)  ในส่วนของค่ารถน้าน(เสียงคุณพุดเดิ้ลกลับมาอีกครั้ง) ก็โดนราคานักท่องเที่ยวอีกเช่นเคย  ก่อนจะมาที่นี่เราก็นั่งดูรูปรีวิวบิ้วตัวเองไว้มากมาย พอไปถึงซากุระ(ต้นนางพญาเสือโคร่ง) แทบจะลาลงดินกันหมดแล้ว 55555  แต่ก็ยังเหลือสวยๆ  เยอะอยู่ ยังได้ๆ(มองโลกสวย ใสๆ แบบนางเอกหลังข่าวภาคค่ำ)




เล่นกับหมาภูเขา หน้าพริ้มเชียว





วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การเดินทางครั้งแรก...เริ่มที่ทางตอนเหนือ

2-5 ธันวาคม 2553


                ช่วงนั้นเป็นช่วงเพิ่งจบเรียนจบใหม่ๆ ยังไม่เคยเดินทางไปเที่ยวไหนไกลๆ เลยนอกจากเที่ยวจังหวัดรอบกรุงเทพฯ เลยมีความคิดอยากไปเที่ยวทางเหนือสักครั้ง  ก็เลยเล็งเชียงใหม่ เชียงราย(ภูชี้ฟ้า) ไว้ ทริปนี้ที่จะไปมีผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหมด 4 คน (เป็น 4 คน ที่ไปลำบากด้วยกันทุกทริปเลย) เพื่อนของเราทั้ง 3 คน ขอเรียกแทนเป็น A, B และ C ละกันนะคะ  เนื่อง B มีเพื่อนเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ และตกลงจะให้พวกเรายืมห้องพักได้ในช่วงที่เราจะไปเที่ยวเชียงใหม่  ตอนแรกเรากะไว้ว่าจะนั่งรถทัวร์ไปกัน (ช่วงนั้นตั๋วเครื่องบินยังแพง และไม่ได้มีโปรฯ เยอะเหมือนตอนนี้)  แต่ทางบ้านเป็นห่วงเพราะเห็นว่าเดินทางกันเองเป็นครั้งแรก พี่ชายจึงออกเงินค่าตั๋วเครื่องบินให้ v(^0^)v  จากนั้นก็เริ่มหาที่พักที่เชียงราย เนื่องจากช่วงที่ไปเป็นช่วงตรงกับวันหยุดทำให้เหลือตัวเลือกไม่มาก และพวกเราก็เลือกพักที่ ภูชี้ฟ้าล็อจ  

               วันเดินทางพวกเรานั่งสายการบิน Air Asia ไป เราเลือกเป็นไฟล์ดึก  เพราะว่า B ทำงานประจำแล้ว (เป็นคนเดียวที่มีปัญหาในเรื่องวัน และเวลาเดินทาง)  เราไปถึงที่เชียงใหม่ประมาณ 4 ทุ่ม   จากนั้น B ก็โทรหาเพื่อนที่จะให้เรายืมห้องพัก แต่!!! โทรไม่ติด ลักษณะเหมือนจะปิดเครื่อง... พวกเราก็เอาละไง  แต่ก็พยายามเปิดใจ ทำตัวใสๆ มองในแง่ดี ลองโทรเรื่อยๆ เดี๋ยวก็คงรับ มันอาจจะนั่งส้วมอยู่ก็เป็นได้  เลยหารถเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่  พวกเรานั่งจนลงเป็นพวกสุดท้ายบนรถแดง  ลงตรงหน้าเซเว่น  ระหว่างนั้นลุงคนขับรถก็มีชวนคุย แนะนำตัวเองว่า พวกหนูมาเที่ยวกันหรอ จ้างลุงขับรถนำเที่ยวได้นะจากนั้นลุงขับรถแดงก็ให้เบอร์เรามา  แล้วลุงก็(ขับรถ)จากไป... พวกเราก็ยังพยายามติดต่อเพื่อนของ B แต่ผลก็ยังคงเหมือนเดิม  เราเริ่มกังวลกันละ  เดินทางครั้งแรก ที่พักก็ไม่ได้หาไว้ แถมเวลาตอนนั้นเกือบๆ 5 ทุ่มละ  จะไปหาที่ซุกหัวนอนได้ที่ไหน  นั่งเครียดกันหน้าเซเว่น (ในวันที่มืดมนยังคงมีแสงไฟจากเซเว่นส่องทางให้ 5555) พวกเราก็ เห้ย!!! เลิกหวังที่จะติดต่อเพื่อนคนนั้นเหอะ  แล้วคิดหาทางใหม่ สายตาก็เหลือบไปเจอเบอร์ลุงรถแดง  นี่แหละทางออกของเรา  เราก็โทรหาลุงเลย บอกพวกเราโดนเพื่อนเทค่ะ ลุงช่วยมารับ แล้วพาไปส่งที่พักที่ใกล้กับสถานีขนส่งหน่อยค่ะ  ลุงแกก็มารับแล้วพาไปโรงแรมใกล้ๆ ขนส่ง ที่แกรู้จัก  แต่!!! ระหว่างทางที่ไป พวกเราเหลือบสายตาไปเห็นหัวลุงแกโยกแบบแปลกๆ  อ้าวเฮ้ย!!! ลุงแกสัปหงกอ่า ก็เข้าใจแกหรอกว่ามันดึกแล้ว แต่..แต่ ลุงขับรถอยู่น้า T^T  พวกเราก็พยายามแกล้งตบกระจกเป็นระยะๆ ให้แกรู้สึกตัว ตบทีตัวดุ้งที  และแล้วเราก็มาถึงโรงแรมโดยปลอดภัย 


พอเช้ามาเราก็ไปที่ขนส่งเพื่อนั่งรถทัวร์ไปเชียงรายต่อ (ตอนหลังก็มานึกได้ว่าทำไมเราไม่จองไปลงเชียงรายแต่แรกหว่า 555)  พอไปถึงที่เชียงรายเราก็เหมารถให้ไปส่งที่พักที่ภูชี้ฟ้าล็อจ  ผู้ดูแลบ้านพัก ที่หน้าเหมือนกับพี่ตูน วงบอดี้สแลม ก็พาเราไปยังบ้านพักที่พักได้ 4 คน  บรรยากาศรอบบ้านพักดีมากกกกกก วิวสวยเว่อร์  อากาศสดชื่นนนน   


และแล้วพวกเราก็เกิดอาหารหิว 555  จึงไปสั่งอาหารกัน  เนื่องจากในกรุ๊ปนี้ไม่มีใครกินผักเลย การเลือกสั่งอาหารกินจึงเป็นข้าวไข่เจียว  มาตั้งไกลมากินข้าวไข่เจียว 555  แต่!!! มันอร่อยมากอ่ะ ไม่เหมือนไข่เจียวที่เคยๆ  กินเลย มันอร่อยล้ำมาก จนอยากเดินไปแอบไปดูในครัวว่าทำยังไง  


หลังจากอิ่มพุงกาง เราก็เริ่มสวมวิญญาณนางแบบ นายแบบ กันค่ะ  จนถึงเวลาอาหารเย็น  ที่พักที่จองไว้มีอาหารเย็นเลี้ยงค่ะ โดยจะจัดให้เป็นเซ็ตโต๊ะตามห้องพักค่ะ  พออาหารมาถึงโต๊ะ แต่ละอย่างมีแต่ผักทั้งนั้น  พวกเราก็เอาละ ผักไม่กินกันก็คงต้องกินละทีนี้  ลองตักกินดู อ้าวเห้ย!!! อร่อยอ่ะ  รสชาติไม่เหมือนผักเมืองกรุงเลย สรุปมื้อนั้นจัดการเรียบแทบจะเลียจาน  จากนั้นเราก็กลับห้องพักผ่อนเตรียมตัวไปขึ้นภูชี้ฟ้าวันพรุ่งนี้  ตอนกลางคืนที่นี่มืดมาก และหนาวมากๆ พื้นที่ห้องพักจะเป็นกระเบื้องทำให้เวลาเดินแล้วประนึงเดินบนแผ่นน้ำแข็งเลยทีเดียว  แต่พอล้มตัวนอนกันไปได้สักพัก ประตูตรงระเบียงห้องดันเปิดออก(น่าจะเป็นเพราะปิดไม่สนิท) เริ่มมีการเกี่ยงกันว่าใครจะไปไปประตู อิดออดกันอยู่พักใหญ่ สรุป B และ C ก็ลุกไปปิดประตู  จากนั้นก็มีเสียงอุทานอะไรบางอย่าง ทำให้ A ลุกตามไป  สิ่งที่ทำให้ทั้ง 3 คน ตะลึง นั้นก็คือ!!!  ดาวบนท้องฟ้า เยอะมาก และสวยมาก  เนื่องจากเป็นเด็กเมืองกรุงกันหมดเลยไม่เคยเห็นดาวเยอะมากขนาดนี้มาก่อน  เหมือนมีคนทำกากเพชรหกบนผ้าสีดำเลย

วันถัดไปตอนตี 5 เราก็เตรียมไปขึ้นรถของทางที่พัก ที่จะพาเราไปส่งทางขึ้นภูชี้ฟ้าค่ะ  อากาศหนาวจนรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัววอลรัสที่นอนนาบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก 5555  ก่อนที่จะขึ้นภู พวกเราก็หาอะไรร้อนๆ มาเพิ่มพลังสักหน่อย  และก็คงหนีไม่พ้นอาหารญี่ปุ่นยอดฮิต มาม่า รสหมูสับ ซึ่งราคาก็เปลี่ยนตามความสูงจากพื้นดิน  จากนั้นเราก็พร้อมเดินทาง แต่ระหว่างที่กำลังจะขึ้นพวกเราก็โดนดักซุ่มโจมตี 5555 มีมัคคุเทศก์ตัวน้อยมาเชิญชวนให้พวกเราจ้างเค้านำทางในราคาน่ารักสมตัว  


ไอ้เรามันก็เหยื่อการตลาดอยู่แล้วเลยได้ไกด์จิ๋วมานำทางส่องไฟให้  แต่(อีกแล้ว) หนูจ๊ะ หนูจะเดินเร็วไปไหนจ๊ะ  เดินตามไม่ทันกันทีเดียว อายเด็กไหมนั้น 5555  พอขึ้นมาถึงข้างบนได้ แทบคลานเลย ตามประสาคนไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย และรองเท้ากัดมาก (อ้างตลอด)  แต่พอเห็นวิวแล้วความเหนื่อยหายไปเลย หายไปในอากาศ  จัดไปหลายท่วงท่า 
  

 

หลังจากอิ่มหน่ำกับบรรยากาศแล้ว เราก็เดินทางลงไปยังจุดนัดของรถที่พัก  พอลงมาถึงข้างล่างปัญหาเกิด คือตอนลงจากรถมันก็มืดๆ ป้ายทะเบียนอะไรก็ไม่ได้จำ  แล้วคือรถที่พักอื่นๆ จอดกันเป็นสิบ แต่เบื้องบนยังคงพอเห็นความดีจากการให้เลือดยุงอยู่บ้าง  ทำให้ B ยังพอจำหน้าคนที่พักที่เดียวกับพวกเรา  ซึ่งนั่งรอ(น่าจะนานแล้ว) บนกระบะหลังรถได้  พอถึงที่พักก็จัดการฟาดอาหารเช้า(ที่อร่อยอีกแล้ว) แล้วเตรียมตัวกลับไปเชียงใหม่  ตอนลงมาเราก็จ้างรถที่รีสอร์ทให้มาส่งที่ท่ารถ (ขาขึ้นโดน 1000 นึง ขาลงโดนแค่ 500 ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน) พอถึงเชียงใหม่เราก็เข้าที่พักของเพื่อน B  ซึ่งคราวนี้เราติดต่อนางได้แล้ว  ได้ความตอนนั้นที่ติดต่อไม่ได้ว่า โทรศัพท์นางตกส้วม (คนมันจะซวย)  พอตกเย็นเราก็ไปเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีกัน โดยการนั่งรถแดง  






แต่เราลืมไปว่า เห้ย!!! ตอนกลับออกมาจะหารถกลับไงอ่ะ  เลยใช้วิชาเก่าสมัยมัธยม โบกรถกระบะของคนแถวนั้นเพื่อออกไปที่ถนนใหญ่  ก็ได้เหยื่อ (หรือเรากันแน่ที่เป็นเหยื่อ) มา 1 คัน   และเหตุการณ์ระทึกขวัญ  เหมือนหนังสยองขวัญศุกร์ 13 ก็เกิดขึ้น  เมื่อรถกระบะใจดีคันนั้นขับไปคนละทางกับที่เรานั่งเข้ามา ขับไปยังถนนเส้นเปลี่ยวที่ทอดยาวไปไกล ไร้บ้านผู้คน  สักพักนึงรถก็จอดเข้าข้างทาง แล้วก็เกิดแรงกระแทกที่หัว ป๊าบ!!!  “นี่จะนั่งเหม่ออีกนานไหม ลงมา ถึงแล้วเพื่อนคนนึงกล่าว พร้อมกับที่เอามือมาตบหัว   รถกระบะใจดีคันนั้นมาส่งเราที่ถนนใหญ่ที่บังเอิญใกล้กับที่พักเราพอดีเลย  แต่พอมานั่งคิดย้อนไปก็อันตราย และเสี่ยงมากที่โบกรถยามวิกาลขนาดนั้น   




วันรุ่งขึ้น ตอนเช้าเราเดินทางไปที่ดอยสุเทพกัน  ช่วงบ่ายก็ไปสวนสัตว์เชียงใหม่  ระหว่างเฮฮากับสัตว์นานาชนิด ตัวเองก็รู้สึกมึนๆ อยากอ้วก ร่างกายต้องการการพักผ่อน  ทำให้ทริปเที่ยวสวนสัตว์ครั้งนี้ล่มกลางคัน  แล้วก็นอนยาวจนถึงช่วงเย็นๆ  จากนั้นเราก็เก็บของเตรียมตัวกลับเมืองกรุงกัน


ตอนกำลังรอจะขึ้นเครื่องกลับ ได้เจอกับพี่โน๊ต อุดม ในระยะใกล้ชิด (ขนาดซื้อตั๋วไปดูเดี่ยว ยังไม่เคยได้ใกล้ชิดขนาดนี้) พี่โน๊ตมีความเฟรนลี่ มีความแหย่เล่นกับแอร์บนเครื่อง  จบทริปนี้กันแบบฟินฟิน